top of page

การขจัดเขม่าออกจากบ่าวาล์ว

     อย่างที่ทราบกันแล้วว่าการขจัดเขม่าที่ท่อทางเดินไอดีและบ่าวาล์วนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่เพราะผลเสียของการปล่อยให้มีเขม่าสะสมนั้นมีมากจริงๆจนมีการพยายามคิดค้นหาวิธีที่จะทำความสะอาดให้ได้ง่ายขึ้น เราจะมาดูกันว่ามีวิธีใดบ้างและผลลัพธ์ รวมถึงความคุ้มค่าของแต่ละวิธีจะเป็นอย่างไร

     ขอยกเอาคลิปผู้ทดสอบที่เป็นกลางคนหนึ่งมาเป็นแนวทาง ซึ่งได้ทำการทดสอบกับหลายๆวิธี แต่ในที่นี้จะขอยกมาเปรียบเทียบเพียงวิธีที่นิยมทำกันอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น

การขจัดเขม่าด้วยสเปรย์เคมี

     วิธีแรกคือการใช้สเปรย์ฉีดสารเคมีสำหรับชะล้างเข้าไปในท่อร่วมไอดี โดยหลักการแล้วก็คือการอาศัยแรงดูดของเครื่องยนต์นำพาเอาสารเคมีที่ล้างคราบเขม่าผ่านระบบท่อร่วมไอดีเข้าไปยังห้องเผาไหม้ โดยหวังว่ามันจะขจัดสิ่งสกปรกในทุกๆที่ที่มันผ่านไป จุดที่ฉีดสเปรย์เข้าก็แล้วแต่ผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการกำหนด บ้างก็ฉีดเข้าทางตำแหน่งที่เป็น Mass Air Flow Sensor บ้างก็ฉีดเข้าทางด้านหลังกรองอากาศเป็นต้น แต่ทุกๆยี่ห้อก็ใช้หลักการทำงานเหมือนๆกัน

     คือการเลียนแบบกระบวนของหัวฉีดเชื้อเพลิงแบบฉีดเข้าท่อร่วมไอดี ซึ่งแต่เดิมเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ใช้ระบบหัวฉีดแบบฉีดตรงจะไม่ค่อยมีปัญหาจากการสะสมของเขม่ามากนัก เพราะแต่ละรอบของการเผาไหม้จะมีเชื้อเพลิงที่ผสมไปด้วยสารชะล้างที่บริษัทน้ำมันใส่เข้าไปด้วยเล็กน้อย ทำหน้าที่ล้างคราบเขม่าอยู่อย่างสม่ำเสมอซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในเครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีดแบบ Direct Injection

ผลก่อน - หลังของการขจัดเขม่าด้วยสเปรย์เคมี

     แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เขม่าไม่ได้ลดลงและดูจะมากขึ้นด้วยซ้ำ (นาที 2.53) จากผลการวัดกำลังด้วยไดโนเทสก็ยืนยันว่าเครื่องยนต์ไม่ได้มีกำลังเพิ่มขึ้น (นาที 4.10) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าการใช้น้ำยาเคมีคือการเลียนแบบกระบวนการของหัวฉีดแบบฉีดในท่อร่วม แต่ที่ต่างกันคือระยะเวลาที่ไม่นานพอที่จะขจัดคราบเขม่าออกไปได้ แถมถ้าเขม่าที่เกาะอยู่แล้วนั้นแข็งและหนา แทนที่จะลดเขม่าได้จะกลายเป็นช่วยให้เขม่าพอกพูนมากขึ้น

การขจัดเขม่าบนบ่าวาล์วด้วย Walnut Blasting

     ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็ได้รับความนิยมอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป คิดค้นมาเพื่อแก้ปัญหาเขม่าสะสมในเครื่องยนต์ Direct Injection โดยเฉพาะ ได้รับการยอมรับและแนะนำโดยค่ายรถยนต์ BMW และ VW ว่าเป็นวิธีที่ได้ผลจริงและคุ้มค่าที่จะลงแรงทำ นั่นก็คือการทำ Engine Detox

     หลักการทำงานของ Engine Detox ก็เหมือนกับการทำความสะอาดพื้นผิวด้วยวิธียิงทราย แต่เปลี่ยนมาเป็น Detox Mixed Powder แทนเนื่องจากไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ เป็นการพ่นออกไปด้วยความเร็วสูงจนคราบเขม่าหลุดออกแล้วดูดทั้งเขม่านั้นและเปลือกวอลนัทกลับออกมา แม้จะมีเศษเปลือกวอลนัทตกค้างอยู่บ้างก็ไม่ต้องกังวลใจมันสามารถถูกกำจัดออกด้วยกระบวนการเผาไหม้ตามปกติได้

ภาพวาล์วก่อนการทำ Walnut Blasting

ภาพวาล์ว ก่อนการทำ Engine Detox

ภาพวาล์วหลังทำ Walnut Blasting

ภาพวาล์ว หลังการทำ Engine Detox

     การยิงวอลนัท จะมีความยุ่งยากกว่าวิธีอื่นๆเพราะต้องสอดท่อสำหรับยิงเข้าไปให้ถึงบริเวณที่จะทำความสะอาด แต่ผลที่ได้น่าพอใจเป็นอย่างมาก สังเกตุได้จากสภาพของวาล์วก่อนและหลังการทำ (นาที 3.50) และผลการทดสอบแรงม้าและแรงบิดที่เพิ่มขึ้นมาถึง 20% ในรถทดสอบ (นาที 5.00)

Engine Detox ในประเทศไทย

     บริษัท Engine Detox Pro เป็นเจ้าแรกที่ให้บริการกำจัดเขม่าที่บ่าวาล์วอย่างเป็นทางการ และมีความร่วมมือกับค่ายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในการวิจัยและพัฒนาเทคนิดวิธีการเพื่อใช้แก้ปัญหาคราบเขม่าสะสมที่วาล์วไอดี ซึ่งค่ายรถแบรนด์นี้ได้ทำการทดสอบมาแล้วทุกวิธี แต่ไม่ได้รับผลที่น่าพอใจเลย จนมาจบที่ Engine Detox เราจึงมั่นใจที่จะนำวิธีนี้มาให้บริการกับลูกค้าที่ใช้เครื่องยนต์หัวฉีดแบบตรงที่กำลังประสบปัญหา กำลังเครื่องตก เครื่องอืด และเครื่องยนต์มีภาวะชิงจุดระเบิดก่อน (นาที 6.35)

เปรียบเทียบความคุ้มค่า

     ราคาค่าบริการด้วยสเปรย์เคมีประมาณ 3,000 บาท/ครั้ง ซึ่งแนะนำว่าควรทำทุกๆ 10,000 กม. เทียบกับการทำ Engine Detox ที่ควรทำทุกๆ 50,000 กม. ซึ่งให้ผลที่สามารถพิสูจน์ได้ไม่ว่าจะจากความรู้สึกของผู้ขับขี่เองหรือจากเครื่องไดโนเทส ที่เพิ่มกำลังเครื่องได้มากถึง 20% ทั้งยังทำให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น 10% (แล้วแต่สภาพเขม่าก่อนทำ) Engine Detox ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอย่างชัดเจน ยิ่งถ้าเทียบราคาค่าบริการที่ทำกันในต่างประเทศที่แพงมาก ถ้าคำนวณโดยรวมที่ 50,000 กม.แล้วจะถูกกว่าวิธีอื่นมาก แถมยังได้ผลที่ดีกว่าเหมือนได้วาล์วใหม่เลยทีเดียว

     นี่ยังไม่รวมกับความรู้สึกว่าคุณได้เป็นฮีโร่ช่วยโลกด้วยการเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ลด CO2, PM2.5 และมลพิษอื่นๆลง จากการที่เครื่องยนต์ของเราสะอาดและเผาไหม้ได้หมดจด ซึ่งจิตสำนึกข้อนี้จะส่งผลต่อเนื่องให้คุณภาพชีวิตของคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเราดีขึ้นอีกด้วย

bottom of page